ยากินิคุ กับ ชาบูชาบู ใช้เนื้ออะไรดี
ร้านปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น (Yakiniku) กับ หม้อไฟสไตล์ญี่ปุ่น (Shabu Shabu) เป็นที่นิยมในหมู่คนไทยมาหลายปีแล้วและกระแสก็ดูจะยังไม่ลดลงง่ายๆ ด้วยวิธีการทานที่แสนง่าย ว่าแต่เนื้อส่วนไหนละที่เหมาะแก่การนำมาทำเมนูสุดฮิตทั้งสองตัวนี้? คำถามนี้คงอยู่ในใจผู้ประกอบการและคนที่ชอบทานมื้อสุดพิเศษที่บ้าน ซึ่งวันนี้ Foodworks จะมาบอกให้ทราบกัน
ยากินิคุ
ริบอาย: ริบอายมีลายหินอ่อนอย่างดี รสชาติดี และนุ่ม ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับการย่างสไตล์ยากินิคุ
เนื้อสันนอก: เนื้อสันนอกเป็นเนื้อไม่ติดมันซึ่งมีความสมดุลระหว่างความนุ่มและรสเนื้อ และเป็นเมนูยอดนิยมสำหรับการย่าง
Short Rib (Kalbi): ซี่โครงสั้นหั่นเป็นชิ้นบางๆ และมีความสมดุลระหว่างเนื้อและลายหินอ่อน เหมาะสำหรับการย่างและเป็นทางเลือกยอดนิยมในยากินิคุ
เนื้อสันใน: แม้ว่าเนื้อสันในจะมีไขมันน้อยกว่า แต่ก็เนื้อนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเนื้อที่ไม่หนาเกินไป
เนื้อสันคอ: ส่วนนี้เป็นเนื้อหินอ่อนอย่างดี และเมื่อหั่นบางๆ ก็เป็นทางเลือกที่อร่อยสำหรับยากินิคุ
ชาบูชาบู
เนื้อสไลซ์บาง: โดยทั่วไปแล้วชาบูชาบูจะใช้เนื้อวัวสไลซ์บางมาก ซึ่งมักเรียกกันว่า "เนื้อชาบู-ชาบู" นี่อาจเป็นริบอาย เนื้อสันนอก หรือสันคอ และอื่นๆ สิ่งสำคัญคือต้องหั่นเนื้อวัวเป็นชิ้นบางๆ เพื่อให้สุกได้อย่างรวดเร็วในน้ำซุปร้อนๆ
เนื้อสันใน: เนื้อสันในเป็นอีกตัวเลือกสำหรับชาบู-ชาบูเนื่องจากเนื้อที่นุ่ม แต่ควรหั่นเป็นชิ้นบางๆ เพื่อให้ทำสุกได้อย่างรวดเร็ว
เนื้อสันคอ: คือส่วนที่มีความเป็นเนื้อลายหินอ่อนป็นตัวเลือกที่เข้มข้นและมีรสชาติสำหรับชาบู-ชาบู
เนื้อหน้าอก: เนื้อหน้าอกชิ้นบางใช้ได้ดีกับชาบู-ชาบู เพราะดูดซับรสชาติของน้ำซุปได้เป็นอย่างดี
หัวใจสำคัญของร้านอาหารทั้งสองประเภทคือต้องมีเนื้อวัวคุณภาพสูงที่หั่นเป็นชิ้นอย่างเหมาะสม สำหรับชาบู-ชาบูแล้ว เนื้อชิ้นบางๆ มีความสำคัญต่อการปรุงอาหารอย่างรวดเร็วในน้ำซุปร้อนๆ ในขณะที่ยากินิกุ ชิ้นที่หนากว่าเล็กน้อยนั้นเหมาะสำหรับการนำไปย่าง
เลือกซื้อเนื้อวากิว เนื้อออสเตรเลีย และเนื้ออาร์เจนติน่านำเข้าได้ที่ช้อปของ Foodworks เพื่อทำให้มื้อนี้เป็นมื้อที่พิเศษกันค่ะ